อ๊าค-ทง เบบี้ยยยยย
กระหยิ่มยิ้มเดินเข้าประตูบ้าน คาสเซ็ตต์ของสตูดิโออัลบั้มใหม่ในรอบหลายปีของวงโปรดในมือ บรรจงเสียบม้วนเทปลงเครื่องเล่น Technics เก่าคร่ำนั้น เตรียมพร้อมที่จะเอ็นจอยกับเพลงร็อคทรงพลัง และรับมือกับ anthem ใหม่ๆในสไตล์ของ U2
หลายเพลงผ่านไป....ถ้าไม่นับ One ที่เหมือนเป็นเพลงปลอบขวัญแฟนเก่า...Zoo Station, Even Better Than The Real Thing, The Fly, Mysterious Ways, Who's Gonna Ride Your Wild Horses... นี่มันอะไรกัน? อะไรคือ Industrial sound, Alternative rock, Hip-hop dance beat, Manchester guitar sound เหล่านี้? นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมจะคาดหวังจากเทปใหม่ของ U2 เลย (โว้ย)
เอา U2 วงเดิมของผมกลับมา ผมต้องการเพลงฮึกเหิมอย่าง Pride (In The Name of Love) หรืออย่างน้อยก็ต้องร็อคในแบบ Desire หรือ Silver and Gold.... แต่เมื่อเทปหมุนไปจนจบม้วนด้วยเพลง Love Is Blindness ทุกอย่างก็ชัดเจน: นี่คือ U2 ที่ไม่ใช่ U2 ที่ผมเคยรู้จัก และผมไม่ชอบมันเลย!
ไม่หรอก คงต้องมีอะไรผิดพลาดไป เราคงฟังไม่ดีหรือเปล่า ผมกลับหน้าเทปเริ่มต้นที่ Zoo Station อีกครั้ง ด้วยความหวังว่าจะค้นพบอะไรใหม่ๆ แต่ก็อย่างที่รู้กัน จะเล่นไปอีกซักกี่รอบก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในเสียงเพลงจากเทป Achtung Baby และอินโทรของ Zoo Station นี่ก็เป็นดั่งการประกาศอย่างโจ่งแจ้งว่า... นี่ล่ะนะ สุ้มเสียงของอัลบั้มนี้ รับกันให้ได้ล่ะ
จำไม่ได้ว่าฟังไปกี่รอบ แต่ที่สุดผมก็ยอมแพ้ แม้มันจะได้รับการชื่นชมแซ่ซ้องว่าเป็นการ reinvention ที่ห้าวหาญ สร้างสรรค์ ค้นพบทางเดินใหม่แต่ยังคงสุดยอดในความเป็น U2 ผมก็ไม่นำพากับเสียงวิจารณ์เหล่านั้น พับปกเทปยาวๆเก็บใส่กล่อง และน้อยครั้งนักที่จะหยิบมันมาฟังอีก
นั่นคือปีพ.ศ. ๒๕๓๔
มันแทบจะทำให้ผมหลุดจากวงจรของการเป็นแฟนประจำของ U2 ไปเลย ผมเลิกซื้อเทปหรือซีดีของพวกเขาอีก จนกระทั่งถึงอัลบั้ม All That You Can't Leave Behind ที่วงกลับมาเล่นแนวเดิมๆ(ในระดับหนึ่ง) พร้อมคำอ้อนแฟนแบบอหังการว่า นี่คือการกลับมาขอสมัครงานในการเป็นวงอันดับ 1 ของโลกอีกครั้ง
น่าจะเป็นช่วงนั้นที่ผมหยิบ Achtung Baby มาฟังอีกครั้ง และรอบนี้ผมพร้อมแล้ว เวลาและอะไรๆมันเปลี่ยนและผ่านไปมากพอที่ผมพอจะเข้าใจว่ามันไร้สาระแค่ไหนที่จะคิดว่าวงดนตรีวงนี้ต้องเล่นในแบบเดิมตลอดชาติ พวกเขาจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ถ้าไม่มี reinvention ครั้งนี้ วงอาจจะไปไม่รอดด้วยซ้ำ
เสียงเพลงจากเทปม้วนนั้นอาจจะยืดไปแล้ว แต่พลังของดนตรีที่กล้าระห่ำในการปฏิวัติตัวเองนั้นคงไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ แต่วินาทีนี้ผมรักมันแล้ว นี่คืออัลบั้มที่ผมใช้เวลานานที่สุดในชีวิตในการที่จะรักมัน และในที่สุดมัน,หรือผม ก็ทำสำเร็จ
Achtung, Baby!
No comments:
Post a Comment