Wednesday, February 8, 2017

#22 Miles Davis :: Kind of Blue (1959)

ผมไม่อยากเรียกมันว่า The Greatest Jazz Album of All-Time แม้ว่าจากโพลล์ครั้งแล้วครั้งเล่าสำหรับคำถามแนวนี้ จำไม่ได้เลยว่าเคยเห็น Kind of Blue หล่นจากอันดับ 1 เพราะผมคิดว่าแจ๊สเป็นดนตรีที่หละหลวมในนิยามและหลากหลายในลีลารูปแบบเกินกว่าจะนำมาเปรียบเทียบกันได้ง่ายๆ และมันคงไม่มีอัลบั้มใดอัลบั้มเดียวที่จะกินความในความเป็นแจ๊สได้ทั้งหมด

ก็เหมือนคนฟังแจ๊สทั่วๆไป และอาจจะแทบทุกคนบนโลก เมื่อเริ่มต้นเข้าสู่โลกของดนตรีแนวนี้ย่อมได้ยินชื่อเสียงของ Kind of Blue และต้องหามันมาฟัง น่าเสียดายที่ผมเริ่มต้นด้วยเวอร์ชั่นอันย่ำแย่ของซีดี Columbia Jazz Masterpiece ที่มีหน้าปกอันไม่คุ้นเคย,สุ้มเสียงที่แห้งแล้ง และยังเป็นเวอร์ชั่นที่สปีดผิดความจริงอีกต่างหาก (ประการหลังคงไม่มีผลอะไรมาก) นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ผมไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับอัลบั้มอันแสนโด่งดังนี้ในขณะนั้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะความไม่พร้อมของคนฟังเองด้วย

จนกระทั่งได้ฟัง Legacy Edition ในอีกหลายปีต่อมา ที่เป็นการรีมาสเตอร์จากเครื่องหลอด ปกตรง (!) และความเร็วของเทปถูกต้อง ผมจึงได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของ Kind of Blue อย่างจริงจัง โชคดีที่ถึงตอนนั้นผมก็ได้ฟังงานแจ๊สมามากกว่าเดิมพอสมควร เรียกว่าทุกอย่างพร้อมทั้งคน,แผ่น และเครื่อง

คุณๆคงทราบกันว่านี่เป็นงานที่ไมลส์ต้องการความสดในการเล่นและอิมโพรไวส์ของนักดนตรีทุกคน เขาแค่ร่างโครงเพลงคร่าวๆและจัดคิวในการโซโล่ให้โดยไม่มีการซ้อมกันมาก่อน ทุกแทร็คที่คุณได้ยินใน Kind of Blue คือเทคแรกที่เล่นเสร็จสมบูรณ์ แต่ถ้าคุณไม่ทราบมาก่อน คุณอาจจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่านี่เป็นคีตปฎิภาณสดๆของ Miles, Trane, Bill, Cannonball,Chambers, Kelly และ Cobb เพราะทุกโซโล่ ทุกคิว ในทุกเพลง ฟังดูประณีต งดงาม เหมือนกับบรรจงเขียนโน้ตกันมาอย่างประดิดประดอย และมันออกมาจากฝีมือของวงดนตรีแจ๊สที่อาจจะ...อาจจะดีที่สุดที่โลกเคยมีมา ในช่วงเวลาสูงสุดของพวกเขา


มีเรื่องราวรายละเอียดมากมาย อาจจะมากเกินกว่าที่คุณจะอยากทราบ หาอ่านได้ในหนังสือของ Ashley Kahn แต่มันคงไม่จำเป็นนัก เพราะคำตอบอยู่ในเสียงที่คุณได้ยินจาก 5 แทร็คนี้แล้ว ในเวลาประมาณครึ่งหนึ่งของเกมฟุตบอลรวมทดเจ็บ นี่เป็นดนตรีที่ผ่อนคลายแต่ลึกลับ, งดงามแต่ปวดร้าว, เซ็กซี่แต่ชวนฝัน, ตั้งคำถามแต่ไม่คะยั้นคะยอคำตอบ และ..ครุ่นคิด แต่ไม่เคร่งเครียด คุณอาจจะเอามันไปเปิดประกอบอะไรก็ได้สารพัด ตั้งแต่อ่านหนังสือนิยายนักสืบ,ล้างจานชามกองโต,ฟังในรถไฟฟ้าใต้ดิน,พลอดรักพลอดใคร่,พาวเวอร์พอยท์วิชาการแขนงใหม่,เอสเปรสโซแก้วเล็กยามเช้า และมันก็ดูจะเข้าไปได้กับทุกบรรยากาศ และไม่ว่าคุณจะจำโซโล่และเครื่องดนตรีทุกชิ้นได้ทุกเม็ด คุณก็ยังอยากจะกลับไปฟังมันอีกครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความรู้สึกเหมือนกับได้ยินมันครั้งแรกเสมอ

บันทึกเสียงสดๆด้วยไมโครโฟน Telefunken U-49 เจ็ดตัวส่งไปห้องคอนโทรลและมิกซ์ลงในเทปรีล Scotch-190 3 แทร็คคุณภาพระดับ state-of-the-art ก่อนส่งผ่านไปที่ห้องใต้ดินเพื่อใส่เอ็คโค่อีกเล็กน้อยและอัดมันย้อนกลับลงมาใน center track, ขณะบรรเลง,นักดนตรีทุกคนต้องมีส่วนช่วยในการมิกซ์สดๆด้วยการประเมินสุ้มเสียงและความห่างจากไมค์กันเอง และเสียงจากเครื่องดนตรีทุกชิ้นไหลทะลุกลมกลืนกันใน stereo image -- ทั้งหมดนี้อธิบายได้บางส่วนถึงสุ้มเสียงที่คุณจะได้ยินใน Kind of Blue

อ้อ, อาจจะไม่สลักสำคัญอะไรนัก แค่จะบอกว่า Steinway Piano ที่คุณได้ฟังในอัลบั้มนี้เป็นตัวเดียวกับที่ Dave Brubeck เล่นใน Time Out.

เพลงโปรด: Flamenco Sketches (นิพพาน), Freddie Freeloader (จังหวะชีวิต), Blue In Green (ภาพแอ็บแสตร็ค) , So What (ศิลปิน), All Blues (มนุษย์) (เรียงตามลำดับความโปรด,ในวงเล็บคือคำจำกัดความสั้นๆที่ผมนึกถึงเวลาฟัง, หนึ่งในหลายๆจินตนาการ)

No comments:

Post a Comment