"The Beatles ช่วยให้โลกรอดพ้นจากหายนะแห่งความเบื่อหน่าย"
จอร์จ แฮริสัน เคยหล่นวาทะกวนๆนี้เอาไว้ในยุคบีเทิลมาเนีย ความสดใหม่ ร่าเริงสดใส คมคาย เฮฮา ในความเป็นตัวของตัวเองของสี่หนุ่มลิเวอร์พูลที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า "สี่เต่าทอง" (คงไม่มีชาติอื่นเรียกแบบนี้) เป็นการยืนยันว่าประโยคนี้ของจอร์จเป็นจริงแท้แน่นอน ไม่มีศิลปินคน,หรือวงไหน มีคุณสมบัติอย่างนี้มาก่อน และ A Hard Day's Night อัลบั้มชุดที่ ๓ และหนังเรื่องแรกของพวกเขาคือจุดสูงสุดของกราฟแห่งความบ้าคลั่งของกระแส Beatlemania ในปี 1964
ทุกอัลบั้มของ The Beatles ริงโก้ สตาร์ มือกลองผู้น่ารักจะได้รับเกียรติให้ร้องนำ ๑ เพลง อาจจะเป็นเพลง cover หรือเพลงที่ Lennon-McCartney แต่งให้ (จนช่วงท้ายๆของวงที่ริงโก้จะลงมือโชว์ฝีมือเอง) แต่ใน A Hard Day's Night เป็นอัลบั้มเดียวที่ริงโก้ได้แต่ตีกลองอย่างเดียว มันเป็นงานที่มีแต่เพลง original ชุดแรกของพวกเขา และเป็นชุดเดียวที่เป็นผลงานของ Lennon-McCartney ทุกเพลง เพลงดีๆมีแน่นขนัดเกินไปกว่าที่จะเหลือที่ให้ริงโก้ ขอโทษด้วยนะ!
แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นคนคิดชื่ออัลบั้มนี้และเป็นชื่อของภาพยนตร์เรื่องแรกของ Beatles ด้วย จากคำบ่นลอยๆตอนย่ำค่ำของริงโก้ ที่เตะหูริชาร์ด เลสเตอร์ ผู้กำกับ ทำให้จอห์น เลนนอน ต้องเร่งรีบกลับบ้านไปแต่งเพลงนี้ให้เสร็จในคืนเดียว ก่อนจะมาบันทึกเสียงกันในวันต่อมา จัดเป็นเพลงของ Beatles ที่้ใช้เวลาในการสร้างสรรค์สั้นที่สุด (ไม่นับเพลงที่แต่งสดๆในห้องอัด)
7 เพลงในหน้าแรก เป็นเพลงที่ใช้ในภาพยนตร์ A Hard Day's Night ส่วนที่เหลือเป็นเพลงสำหรับอัลบั้มนี้โดยตรง แต่คุณไม่จำเป็นต้องชมภาพยนตร์เพื่อที่จะฟังอัลบั้มนี้ให้สนุก มันสนุกและยอดเยี่ยมในตัวของมันเองอยู่แล้ว (ไม่ได้หมายความว่าหนังไม่น่าดูหรือไม่สนุก--ตรงกันข้าม มันคือหนังเพลงระดับคลาสสิกของวงการที่คุณต้องดู) 13 เพลงในอัลบั้มนี้ยังคงหนีไม่พ้นเรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาวในมุมมองต่างๆกัน ณ จุดนี้ จอห์น และ พอล ไม่ได้นั่งแต่งเพลงด้วยกันแบบตาจ้องตากันเหมือนยุคแรกอีกต่อไปแล้ว (ยกเว้นบางกรณี) แต่จะเป็นต่างคนต่างเขียนแล้วมาเสริมและแก้กันมากกว่า
ถ้านับที่สัดส่วนการประพันธ์ A Hard Day's Night เป็นงานที่เรียกได้ว่า"เลนนอนคุม" นอกจาก Can't Buy Me Love, Things We Said Today และ And I Love Her ที่เป็นผลงานของพอลแล้ว เพลงที่เหลือจอห์นเหมาแต่งแทบทั้งหมด George Harrison ก็ไม่ได้แต่งเพลงเลยในชุดนี้ แต่ยังโชคดีกว่าริงโก้ เขาได้รับเพลงจากเลนนอน-แมคคาร์ทนีย์มาร้อง ๑ เพลง คือ I'm Happy Just To Dance With You ที่ออกลีลาเพลงรักกระจุ๋มกระจิ๋มต่อเนื่องไปได้กับ Do You Want To Know A Secret ที่จอร์จร้องไว้ในอัลบั้มแรก
จะฟังเอาสนุก เอาความไพเราะอย่างเดียว อัลบั้มนี้มีให้คุณเต็มเปี่ยม แต่ถ้าจะลงลึกไปในแต่ละเแทร็ค ทุกเพลงแทบจะมีตำนานในตัวเอง เสียงคอร์ดแรกอันสร้างความงงงวยให้นักกีต้าร์นับล้านๆว่ามันคือคอร์ดอะไรในเพลง A Hard Day's Night และการสลับกันร้องอันแสนสนุกของจอห์นและพอล, เพลงรักง่ายๆที่จับใจทันควันอย่าง I Should Have Known Better (หลายคนคิดถึงแต่หน้าแพ๊ตตี้ บอยด์เมื่อเพลงนี้ดังขึ้น), การเปลี่ยนคอร์ดอย่างวุ่นวายแทบทุกโน้ตและเสียงประสานอันงดงามกับเนื้อหาที่ซับซ้อนเกินเพลงรักทั่วไปใน If I Fell, ความไพเราะอันเรียบง่ายอมตะและเสียงกีต้าร์สแปนิชสุดหรูของจอร์จใน And I Love Her, เมื่อพวกเขาสวมวิญญาณ doo-wop girl group ใน Tell Me Why และเพลงแรกที่บันทึกเสียงในอัลบั้มนี้-- Can't Buy Me Love ที่เหมือนจะเป็นเพลง cover จาก Count Basie หรือ Duke Ellington มากกว่า ในจังหวะ big band beat ของมัน (ไม่น่าแปลกใจที่ป้าเอลล่ารีบนำมันไปร้องบันทึกเสียงใหม่อย่างรวดเร็วหลังจากได้ยิน)
หน้าสอง แม้เพลงจะไม่ "ดัง" เท่า แต่ก็ไม่ได้ด้อยอรรรถรส Any Time At All จอห์นตะโกนร้องได้อย่างมันส์ในร็อคเกอร์สนุกง่ายๆเพลงนี้ มันเป็นเพลงในแบบที่ไบรอัน อดัมส์น่าจะชอบ (และไม่กี่ปีก่อนเขาก็นำมันไป cover เรียบร้อย) เนื้อหาเหมือนจอห์นจะล้อตัวเองจากเพลง All I've Got To Do (จาก With The Beatles) แค่เปลี่ยนข้างคนที่เริ่มโทรหา, I'll Cry Instead คันทรี่ร็อค เนื้อหาดาร์ค แต่ดนตรีแสนสนุกสนาน, When I Get Home--A Hard Day's Night (reprise)? ,Things We Said Today อาจจะเป็นเพลงที่ลึกซึ้งที่สุดในอัลบั้มทั้งดนตรีและเนื้อหา การมองไปในอนาคตให้ย้อนอดีตมาถึงทุกวันนี้ ,You Can't Do That ใครจะเชื่อว่าเพลงดีขนาดนี้เป็น B-side ของ Can't Buy Me Love และมาหลบอยู่ท้ายอัลบั้ม? เนื้อหาออกก้าวร้าวในสไตล์หนุ่มขี้หวง (อันจะมีอีกหลายเพลงของจอห์นตามมาในแนวนี้) แต่ความโจ๊ะของเพลงกลบเกลื่อนมันเสียหมด
แฟนเพลง Beatles ในปี 1964 คงจะดีใจที่แทร็คสุดท้ายคือ I'll Be Back เหมือนสัญญาที่พวกเขาให้ไว้ว่าจะกลับมา...ในอีกไม่นานนัก
No comments:
Post a Comment