Sunday, January 8, 2017

#47 Michael Jackson :: Thriller (1982)

<ฝันให้ไกล ไกลแค่ไหน? ไกลที่สุด!>

เด็กน้อยผิวดำรูปร่างบอบบาง ยืนอยู่ริมขอบสระน้ำ เขาน่าจะกำลังจะกระโดดลงไป แต่ยัง, เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ยกแขนทั้งสองผายออกไปในอากาศ พึมพำอะไรบางอย่าง เหมือนเขาจะขอพรและส่งออกไปในความว่างนั้น และถ้าคุณเข้าไปยืนใกล้ๆกว่านั้น คุณอาจจะพอฟังออกว่าเขาพูดว่า "ผมขอให้สักวันหนึ่ง ผมได้ทำอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลกตลอดกาล" และเขาก็กระโดดลงสระน้ำไป

ไมเคิล แจ็คสัน ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ไปว่ายน้ำ ความใฝ่ฝันจะทำ biggest selling album of all-time มีติดตัวเขามาแสนนานแล้ว และเมื่อ wish ถูกตอกย้ำมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็กลายไปเป็น goal

หลังจากอัลบั้ม Off The Wall งานเดี่ยวชุดแรกของไมเคิล (หนุ่ม) ประสบความสำเร็จอย่างสุดยิ่งใหญ่ หลายคนคงคิดว่ายากแล้วที่ไมเคิลจะทำอะไรอย่างนั้้นได้อีก ระหว่างการพักผ่อนในห้องอัดขณะทำอัลบั้ม Thriller งานชุดต่อมา โปรดิวเซอร์ ควินซี่ โจนส์ เอ่ยปากถามไมเคิล ที่กำลังเล่นพินบอลอยู่ว่า "ถ้าอัลบั้มนี้ออกมาได้ไม่ดีเท่า Off The Wall เธอจะเสียใจไหม?"

มันเป็นคำถามที่สร้างความผิดหวังให้ไมเคิลอย่างแรง มันไม่ควรจะเป็นคำถามด้วยซ้ำ "Thriller ต้องทำได้ดีกว่า Off The Wall จะบอกให้นะว่าผมต้องการอะไร ผมต้องการให้มันเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาล"

ควินซี่และ ร็อค เทมเปอร์ตันที่อยู่ตรงนั้นด้วยถึงกับปล่อยก๊าก ช่างเป็นความปรารถนาที่เกินเอื้อมอะไรอย่างนั้น

แต่ไมเคิลก็ทำได้จนได้ ด้วยความเป็นอัจฉริยะของเขา, ด้วยความเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์, ด้วยทีมดนตรีที่สุดยอด และด้วยการวางแผนการตลาดอันแยบยล Thriller กลายเป็น biggest selling album of all time ตามที่เด็กน้อยคนนั้นฝันเฟื่องเอาไว้จริงๆ

ต่อจากนี้ไปเป็นรีวิวที่ผมเขียนไว้หลังจากไมเคิลเสียชีวิตไม่นาน



-------------------------------------
.
. ครั้งสุดท้ายที่ผมตรวจสอบดู มีการเขียนรีวิวถึงอัลบั้ม Thriller ของไมเคิล แจ็กสันนี้แล้วไม่ต่ำกว่า 15 ล้านครั้ง นี่นับเฉพาะที่ Google ค้นหาในโลกไซเบอร์ ไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะมันออกจำหน่ายมา 27 ปีแล้ว และมันก็เป็นอัลบั้มที่....ขายดีที่สุดในโลก

แล้ว...ยังจะมีอะไรให้เขียนถึงอีกหรือ ที่ผู้รีวิวท่านอื่นไม่ได้กล่าวถึงไปแล้ว อาจจะไม่มีอีกแล้ว มันน่าจะเป็นอัลบั้มที่ถูกชำแหละออกมาแล้วทุกแง่ทุกมุมตั้งแต่ดนตรี,เนื้อหา,เบื้องหลัง และความสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังอยากเขียนถึงมันอีกครั้ง ในแง่มุมมองของผม หลังจากไมเคิลเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝันเพียงไม่กี่สัปดาห์ เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาเป็นครั้งสุดท้าย

เพราะนี่คือผลงานชิ้นเอกที่ไมเคิลมอบไว้ให้แก่มนุษยชาติ นื่คือสิ่งที่พวกเราควรจดจำมากกว่าท่าเต้นสารพัด (ที่ล้วนแล้วแต่มหัศจรรย์) หรือข่าวอื้อฉาวทั้งปวง (ที่ก็มหัศจรรย์ไม่แพ้กัน) ถ้าไมเคิลไม่ได้ทำอะไรอีกแล้วหลังจาก Thriller ผมก็ยังคิดว่าเขาคู่ควรกับฉายา ราชาแห่งเพลงป๊อบอยู่ดี

ครั้งแรกที่ผมได้ฟัง Thriller ก็น่าจะเป็นเย็นวันหนึ่งในปีพ.ศ. ๒๕๒๖ จากเทปคาสเซ็ตต์ (ปิศาจ) ที่ซื้อมาจากแผงเทปที่ไหนสักแห่ง ก็เหมือนกับอัลบั้มพิเศษทุกอัลบั้มที่คุณยังจำได้ดีถึงครั้งแรกที่ได้ยินมัน แม้ว่าใครๆก็ว่านี่เป็นงานที่เอาใจตลาดแบบออกนอกหน้า แต่สำหรับผมในตอนนั้นก็ไม่คิดว่ามันเป็นงานตลาดอะไร หลายเพลงฟังไม่เข้าหู หลายเพลงออกจะน่าเบื่อ จะมีก็แต่ Beat It, Billie Jean และ The Girl Is Mine เท่านั้นที่ชนะใจผมได้แทบจะทันที แต่เมื่อให้เวลากับมัน ความยอดเยี่ยมของทั้งเก้าแทร็คก็ค่อยๆคลี่คลายให้โสตสดับ และดูเหมือนจะไม่มีการหยุดหย่อนที่จะปล่อยกัมมันตรังสีอันน่าพิศวงออกมาไม่จบสิ้น


ไม่มีใครคิดหรอกครับตอนนั้น ว่ามันจะกลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในโลก คุณภาพของดนตรีในทั้ง 9 เพลงย่อมเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้มันขายดีและขายได้ยาวนานขนาดนั้น แต่การวางแผนทางการตลาด และมิวสิกวิดีโอที่ยอดเยี่ยมก็ย่อมมีส่วน และเราต้องไม่ลืมท่าเต้น Moonwalk ในเพลง Billie Jean ที่ไมเคิลเปิดตัวท่าแดนซ์ที่ระบือโลกที่สุดตลอดกาลนี้บนเวทีในงานฉลองครบรอบ 25 ปีของโมทาวน์

อัลบั้มก่อนหน้านี้ของไมเคิล Off The Wall ได้รับคำยกย่องและยอดขายในแบบที่ใครๆก็ต้องชื่นใจ แต่สำหรับไมเคิล-ไม่ เขารู้สึกว่าการที่อัลบั้มนั้นไม่ได้ Album Of The Year ในงานแกรมมี่เป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง เขาสร้าง Thriller ขึ้นมาด้วยความหวังแรงกล้าที่จะให้มันเป็นอัลบั้มที่ทุกเพลงนั้นเป็นเพลงเอก เฉกเช่นเดียวกับ The Nutcracker ของ ไชคอฟสกี้ และทำให้คนผิวสีอย่างเขากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ที่บรรดาสื่อต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนขอทำข่าวหรือถ่ายปกหนังสือ

ถึงทุกวันนี้คุณก็รู้ดีว่าไมเคิลทำได้แค่ไหน

โดยส่วนตัวผมไม่คิดว่า Thriller เป็นอัลบั้มที่ไร้ที่ติ และมันก็มีเพลงที่อ่อนอยู่ในนั้นบ้าง เช่น Baby Be Mine หรือสำหรับบางคน-The Girl Is Mine ที่ออกเป็นซิงเกิ้ลแรก แต่ความสมบูรณ์แบบและหลากหลายของเจ็ดเพลงที่เหลือช่วยดึงเกรดเฉลี่ยของ Thriller ขึ้นมาเข้าใกล้ 4.00 ไมเคิลและควินซี่ โจนส์ต่อยอดจาก smooth funk pop ของ Off The Wall กลายมาเป็น black music ลูกผสมที่เต็มไปด้วยโมเมนตัมมหาศาล มันพร้อมที่จะเจาะตลาดในทุกเหลี่ยมมุมของโลกดนตรี ไมเคิลแต่ง 4 ใน 9 เพลงทั้งหมดของอัลบั้ม และการเขียนเนื้อร้องของเขาก็พัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง หลายเพลงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความอึดอัดใจในการเป็นป๊อบสตาร์ที่กลายเป็นปมในจิตใจของเขาอันไม่อาจคลี่คลายได้จนวาระสุดท้าย

The Girl Is Mine เป็นซิงเกิ้ลแรกด้วยบารมีของ Paul McCartney แท้ๆ ว่ากันว่ามันทำให้อัลบั้มนี้เกือบล่ม เพราะกระแสตอบรับไม่แรงเอาเสียเลย ก่อนที่ซิงเกิ้ลที่สอง Billie Jean จะช่วยกู้หน้าได้ทัน แต่ใครจะทราบเล่าว่าถ้า Billie Jean ออกเป็นซิงเกิ้ลแรกจะเกิดอะไรขึ้น? แน่ใจได้หรือว่ามันจะไม่ล้มเหลว The Girl… เป็นเพลงที่ถ้าคุณไม่รักก็จะเกลียดไปเลย หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเพลงรักปัญญาอ่อน แต่แฟนสี่เต่าทองอย่างผมย่อมถูกจริตเป็นธรรมดา ไมเคิลแต่งเพลงนี้ในแบบพอลๆได้อย่างเนียนสนิท และถ้าคุณจ้องมองลงไปให้ลึก การเรียบเรียงและคิวการร้องในเพลงคู่เพลงนี้ถือว่าไม่เหมือนเพลงร้องคู่ทั่วไปที่ผลัดกันร้องไปกลับ ตรงข้ามมันเต็มไปด้วยชั้นเชิงและลีลาที่เป็นธรรมชาติราวกับเป็นบทสนทนา

และ Billie Jean… แน่นอนว่านี่คือเพลงที่ทำให้ไมเคิล แจ็กสัน เป็นไมเคิล แจ็กสัน และคือหนึ่งในซิงเกิ้ลที่น่าจดจำที่สุดแห่งทศวรรษ 80’s มีไม่กี่เพลงในโลกที่คุณจะจำมันได้ทันที แค่ได้ยินเสียงกลองสองสามแต็กในช่วงอินโทร จังหวะ light funk, ท่อนเบสไลน์บันลือโลกจากฝีมือของ Louis Johnson, เสียง Lyricon จากปากของ Tom Scott และกีต้าร์นวลเนียนของ Dean Parks ช่วยกันสร้าง history of pop กี่ล้านคนที่เคยโลดแล่นบนแดนซ์ฟลอร์ไปกับเพลงนี้ แต่น่าขันที่เนื้อหาของเพลงไม่ได้รื่นเริงไปด้วยเลย ไมเคิลเขียนจากเรื่องจริงที่เคยถูกหญิงแฟนเพลงยัดข้อหาเป็นพ่อของเด็กให้ … but the kid is not my son… เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่พวกเขาบันทึกเสียงกันตอนทำอัลบั้ม Thriller ว่ากันว่า Bruce Swedien เอ็นจิเนียร์ของอัลบั้มต้องมิกซ์เพลงนี้ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าตามความต้องการของควินซี่และไมเคิล จนสุดท้ายพวกเขาก็ได้มิกซ์ที่ 91 ที่ทุกคนคิดว่ามัน ‘hot’ ที่สุดแล้ว แต่จู่ๆควินซี่ก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ และขอให้บรูซกลับไปเปิดมิกซ์ #2 อีกครั้งหนึ่ง ผลก็คือทุกคนในห้องอัดออกสเตปร่ายรำไปกับมันอย่างไม่อาจห้ามใจ และนั่นก็คือมิกซ์ที่เราได้ยินกันในทุกวันนี้!

(มีเวอร์ชั่นจากแผ่น 12 นิ้วของ Billie Jean ที่ยาว 6:24 นาที ซึ่งมันก็คือเวอร์ชั่นเต็มๆของเพลงที่ยังไม่ถูกตัดต่อ ลงให้เหลือสี่นาทีกว่าๆเพื่อให้เหมาะกับอัลบั้ม แนะนำให้หามาฟังกันนะครับ เพราะมันคือ Billie Jean ที่สมบูรณ์ที่สุด)


แต่ Billie Jean ไม่ได้เปิดตัวครั้งแรกในแทร็คที่ 6 นี้ ไมเคิลเอ่ยนามเธอมาครั้งหนึ่งแล้วในเพลงแรกของอัลบั้ม Wanna Be Startin’ Somethin’ ฟังกี้แดนซ์ที่เร่าร้อนเสียจนในบางช่วงเหมือนกับเพลงจะคุมตัวเองไม่อยู่ ราวกับรถยนต์ที่พร้อมจะหลุดโค้งทุกเมื่อ ไมเคิลกราดเกรี้ยวกับความสับสนและข่าวลือที่กดดันชีวิตป๊อบสตาร์ แต่ก็สรุปไว้อย่างผู้กำชัยว่า ma ma se ma ma coo sa? นี่คือแทร็คที่ไม่อาจวางไว้ที่อื่นได้เลยนอกจากขอบนอกสุดของแผ่นเสียงหน้าเอ

คนผิวสีทำเพลงร็อค? ไมเคิลอาจจะไม่ใช่คนแรกแน่นอน แต่ไม่มีใครทลายตลาดได้อย่างสิ้นเชิงได้เหมือนกับที่เขาทำไว้กับ Beat It ป๊อบร็อคที่หนักแน่นด้วยริธิ่มเซ็กชั่นระดับพระกาฬอย่าง Steve Lukator, Paul Jackson และ Jeff Porcaro ,เมโลดี้ที่ไม่ได้เขียนไว้ให้ใครลืม และสุดท้ายคือแขกรับเชิญ-นักกีต้าร์ที่ร้อนแรงที่สุดบนพิภพ(ขณะนั้น) Eddie Van Halen การโซโลของเอ็ดดี้ในเพลงนี้ถือว่าทำดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะเขาใส่ความเป็นตัวเองและเทคนิคต่างๆลงไปอย่างงดงามและเมามันส์ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าไอ้หมอนี่มาเล่นโชว์ออฟเกินหน้าเกินตาเจ้าของบ้านแต่อย่างใด ผลลัพธ์ก็คือนี่เป็นเพลงที่ทำให้คนขาวและชาวร็อคต้องมาควักกระเป๋าซื้ออัลบั้มของคนผิวสีอย่างไมเคิล และทำให้แฟนไมเคิลเองได้ตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของการโซโลกีต้าร์ระดับเซียน และเหนือไปกว่านั้น แม้เพลงนี้จะเร้าอารมณ์แค่ไหน แต่มันเป็นบทเพลงที่ต่อต้านความรุนแรงโดยสิ้นเชิง

น่าเสียดายที่เพลงปิดอัลบั้มไม่ใช่เพลง Thriller เพราะผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเพลงปิดที่ยิ่งใหญ่ได้ ซิงเกิ้ลสุดท้ายของอัลบั้มที่มีกระแสของมิวสิกวิดีโอยาว 14 นาทีหนุนหลัง ผลงานการประพันธ์ของ Rod Temperton ที่ตอนแรกจะให้ชื่อ Starlight เป็นความคมคายยิ่งนักของผู้แต่งที่ผูกเรื่องของหนังสยองขวัญไปโยงไยกลายเป็นเพลงรักไปได้ในที่สุด ไมเคิลร้องด้วยเสียงที่น่าตื่นเต้นแทรกด้วยเสียงสะอึกอันกลายเป็นเอกลักษณ์ของเขาในเวลาต่อมาเป็นระยะๆก่อนที่เพลงจะปิดท้ายอย่างสุดยอดด้วยเสียง “แร็ป” ของ Vincent Price และการระเบิดหัวเราะที่ก้องไปทั้งโลก

Human Nature และ The Lady In My Life เป็นสองเพลงช้าที่น่าประทับใจซึ่งไมเคิลได้โชว์เสียงร้องใสปิ๊งของเขาเหมือนวันวานยุคโมทาวน์อีกครั้ง และ P.Y.T. ก็สนุกสนานไปกับเหล่าคอรัสที่ไม่ใช่ใครอื่น สองสาวแจ็กสัน Janet และ La Toya นั่นเอง

ค่อนชีวิตที่ผมฟัง Thriller มา คงไม่อาจคาดคะเนได้ว่ามันกี่ร้อยกี่พันรอบแล้ว แต่ทั้ง 9 เพลงนี้ก็ยัง ‘thrill’ ผมได้อยู่
“Cause I can thrill you more than any ghost would dare to try.”

Tracklist ทุกเพลงแต่งโดยไมเคิล แจ็กสัน เว้นแต่ที่มีวงเล็บต่อท้าย
1. "Wanna Be Startin' Somethin'" 6:02
2. "Baby Be Mine" (Rod Temperton) 4:20
3. "The Girl Is Mine" (with Paul McCartney) 3:42
4. "Thriller" (Temperton) 5:57
5. "Beat It" 4:17
6. "Billie Jean" 4:54
7. "Human Nature" (John Bettis, Steve Porcaro) 4:05
8. "P.Y.T. (Pretty Young Thing)" (James Ingram, Quincy Jones) 3:58
9. "The Lady in My Life" (Temperton) 4:59

Note-มีซีดีสามเวอร์ชั่นของอัลบั้มนี้ คือเวอร์ชั่นแรกที่ไม่มีเพลงแถม (ตอนนี้อาจจะหายากแล้ว ว่ากันว่าตอนไมเคิลตายใหม่ๆเวอร์ชั่นนี้บางแผ่นมีให้ประมูลในอีเบย์ในราคาเฉียดร้อยเหรียญ) และเวอร์ชั่นครบรอบ 21 ปีที่มีสัมภาษณ์ควินซี่ โจนส์ ,เดโมเพลง Billie Jean และเพลง Someone In The Dark จากหนัง E.T.และเวอร์ชั่นครบรอบ 25 ปีที่มีเพลงรีมิกซ์ใหม่ร้องกับศิลปินรุ่นใหม่ๆ ถ้าเป็นแฟนจริงก็ต้องเก็บให้เรียบ!


No comments:

Post a Comment