หน้าปกของ Suck It And See เป็นสีขาวล้วน มีเพียงตัวอักษรเรียบง่ายสีดำที่กลางอัลบั้ม มันเป็นปกที่แม้แต่นิตยสาร NME ที่ถือว่าเป็นแม่ยกตัวแม่ให้ทางวงมาตลอดก็ยังต้องออกมาวิจารณ์ว่าเป็นหนึ่งใน 50 ของปกที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่จะมีวงดนตรีชั้นนำสักกี่วงที่จะกล้าทำอะไรห่ามๆแบบนี้ แต่ The Monkeys ก็ขึ้นชื่ออยู่แล้วกับการทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน พวกเขาคงจะพยายาม “ก้าวข้าม” การ “ล่อซื้อ” ด้วยหน้าปกอันสวยงาม และชักชวนด้วยความมั่นใจให้ผู้ฟังลองรับฟังอัลบั้มนี้ด้วยตัวและหูของพวกเขาเอง แล้วจะเข้าใจในคุณค่าของมัน ดั่งชื่ออัลบั้ม “Suck It And See” (แต่ NME ก็ยังชมตัวอัลบั้มแบบขั้นเทพเหมือนเคย) อ้อ.. พวกเขาเคยเกือบจะให้ชื่ออัลบั้มนี้ว่า “Thriller” !!!
อัลบั้มก่อนของพวกเขา Humbug (ผมเคยรีวิวไว้ใน GM2000 เล่มเก่าๆ) Arctic Monkeys ใช้บริการของ Josh Homme ในฐานะโปรดิวเซอร์ และรับสุ้มเสียงดนตรีร็อคกลางทะเลทรายของ Queens of the Stone Age ของ Josh มามากมาย เป็นทางออกของวงที่ไม่เลวและมันก็เป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้สองชุดแรก แต่ก็ทำให้แฟนๆของวงตั้งแต่ยุค I Bet You Look Good On The Dance Floor เลิกรากันไปหลายคน ขณะที่ได้แฟนใหม่ๆมาจำนวนหนึ่ง พวกเขาเงียบหายไปพักใหญ่ ก่อนที่ Alex Turner จะโผล่มาทำ soundtrack ให้ภาพยนตร์เรื่อง Submarine ของ Richard Ayoade และอย่างรวดเร็วก่อนที่แฟนๆจะสงสัยเรื่องการดำรงอยู่ของวง The Monkeys ก็ปล่อยเพลง Brick By Brick ออกมาให้ชิมกัน
มันเป็นเพลงที่ออกมาให้แฟนๆไขว้เขวชัดๆ (คิดว่าเป็นความขี้เล่นของวง) เพราะนี่คือเพลงที่มีริฟฟ์ยังกะ Led Zeppelin ผสม AC/DC และร้องนำโดย Matt Helders มือกลองเป็นครั้งแรก แถมมีเนื้อหาแบบ “I wanna rock and roll! Brick By Brick!” ไม่นานจากนั้น single แรกแท้ๆก็ตามมา Don’t Sit Down Cause I’ve Moved Your Chair ค่อยเป็น The Monkeys อย่างที่แฟนๆรู้จัก มันให้ feel ของดนตรีในแบบ Humbug แต่กระชับและสนุกสนานขึ้น
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ภาพรวมของ Suck It And See อยู่ดี เพราะ 10 เพลงที่เหลือดูเหมือนจะเป็นการต่อยอดจาก Cornerstone แทร็คหนึ่งใน Humbug ที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็น ballad ที่สุดของพวกเขา, เสียงร้องที่นุ่มนวลชัดถ้อยชัดคำของ Alex Turner , แน่นอนบนเนื้อหาของการเล่นคำอย่างสนุกสนานในแบบของ Bob Dylan, และแบบฟอร์มโครงสร้างของเพลงที่เป็นมาตรฐานไม่หลุดโลก สุ้มเสียงของ Franz Ferdinand, The Libertines, Oasis, The Clash ที่เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาในอัลบั้มชุดแรกเหลือน้อยลงเต็มทน แต่เต็มไปด้วยอิทธิพลของ Nick Cave, The Stone Roses, The Smiths และ The Cramps เข้ามาแทนที่
Alex Turner นักร้องและนักแต่งเพลงยังทำหน้าที่เขียนเนื้อเพลงทุกเพลงในอัลบั้ม ไอเดียของ Alex ในการคิดพล็อตและสนุกกับภาษานั้นนับวันยิ่งจัดจ้านและไม่เห็นวี่แววว่าจะตีบตัน ลีลาอันเหนือชั้นของเขาประหนึ่งเปรียบได้กับ ลีโอเนล เมสซี่แห่งวงการดนตรีปัจจุบัน (หน้าตาก็มีส่วนคล้าย) ส่วนฟากดนตรีนั้นพวกเขาทุกคนช่วยกันแต่ง Matt Helders ยังคงเป็นมือกลองที่เยี่ยมที่สุดใน generation ของเขา ด้วยพลังในการฟาดที่ดุเดือดและมีชีวิตชีวาบวกกับลูกเล่นอันสร้างสรรค์ไม่หยุดนิ่ง James Cook เป็นมือกีต้าร์ที่นับวันยิ่งเหนือชั้น แต่เขาไม่ใช่ Guitar hero ในแบบที่เด็กๆจะคลั่งไคล้ Cook ใส่สุ้มเสียงจากกีต้าร์ของเขาเหมือนแต่งแต้มให้บทเพลงงดงามและลงตัวแต่บทจะต้องจัดเต็ม เขาก็ไม่เคยผิดคิว Nick O’Malley มือเบสที่เป็นสมาชิกใหม่สุดของวงก็พัฒนาฝีมือขึ้นมากมาย ทางเบสสวยๆมีให้ฟังกันแทบทุกแทร็ค
พวกเขาบันทึกเสียง Suck It And See กันที่ L.A. ภายใต้การโปรดิวซ์ของ James Ford ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่อัลบั้มที่สอง Favourite Worst Nightmare ในการทำงานของอัลบั้มนี้พวกเขาหลีกเลี่ยงการนำเพลงไปค่อยๆแต่งเติมกันในห้องอัดทีละเล็กละน้อย แต่เน้นไปที่การซักซ้อมกันอย่างหนักหน่วงก่อนที่จะบันทึกเสียงกันอย่างสดๆที่สุดเท่าที่จะทำได้
She’s Thunderstorms อเล็กซ์เขียนเพลงนี้ท่ามกลางพายุในนิวยอร์คพร้อมกับกีต้าร์ในมือ เขาคิดว่ามันเป็นคำจำกัดความที่ดีของผู้หญิงสักคน โปรดสังเกตว่าเธอไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นพายุหลายลูกมาพร้อมๆกัน Black Treacle ความหวานเคลิ้มต่อเนื่องจากแทร็คแรก คอรัสเพราะพริ้ง เนื้อหาอาจคิดไปได้ถึงยาเสพติดบางชนิด “Does it help you stay of late, does it help you concentrate?” The Hellcat Spangled Shalalala เพลงที่น่าจะติดหูที่สุดในอัลบั้ม Alex เล่นสนุกกับตัวอักษรเต็มที่ “She’s got a telescopic hallelujah hanging upon her wall….” แต่แฟนๆคงจะรอที่จะร้อง shalalala ไปกับเขาในคอนเสิร์ตก็เพียงพอ Piledriver Waltz เพลงนี้อยู่ใน soundtrack Submarine มาก่อน แต่นี่เป็นอีกเวอร์ชั่นที่ The Monkeys เล่นกันเต็มวง ฟังต่อกับ Love is a Laser Quest และ Suck It And See เป็นความเคลิ้มหวานต่อเนื่องที่น่าหลงไหลยิ่งนัก ไทเทิลแทร็คเป็นการนำความงามของหญิงสาวไปเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มได้อย่างน่ารัก “You’re rarer than a can of Dandelion and Burdock / and the other girls are just post-mix lemonade….”
Library Pictures เป็นเพลงเดียวที่หวนระลึกถึงพลัง post-punk-hard-rock ที่พร้อมจะเขย่าฟลอร์ของพวกเขาในวันคืนเก่าๆ ส่วนใครที่คิดถึง Josh Homme เขามาร่วมร้องคอรัสใน All My Own Stunts และ That’s Where You Wrong คือ Arctic Monkeys ที่สวมวิญญาณของ The Stone Roses ยุครุ่งเรือง ด้วยดนตรีที่ค่อยๆ built อย่างเร้าใจทีละน้อย เป็นเพลงที่ตื่นเต้นและยิ่งใหญ่ Ian Brown คงแทบจะอยากมาร้องนำให้เอง
แฟนๆที่รับไม่ได้กับ Humbug น่าจะให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง ฝีมือไม่ต้องพูดถึง นี่คือ Arctic Monkeys ที่กลมกล่อมถึงรสและคุณค่าทางดนตรีและเนื้อหาเช่นเดิม พวกเขาไม่ได้ถอยหลังกลับ แต่นี่คือทิศทางใหม่ที่เติบโตไปอีกขั้น อดไม่ได้ที่จะคิดว่าพวกเขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าทำเพลงดีๆในแบบที่พวกเขาชอบกันอยู่โดยไม่ได้วางแผนอะไรทางการตลาด ในยุคแห่งการเสพดนตรีตัวอย่างอันง่ายดายนี้ คงไม่ยากอะไรที่คุณจะลองฟังมัน suck it… and see
No comments:
Post a Comment